บทความนี้อาจจะเป็นแนวทางให้กับบางท่าน ที่ไม่เคยไปกับทัวร์และไม่เคยไปประเทศจีน อยากให้คุณลองอ่านซักนิด แล้วคุณจะรู้ว่า ไปกับทัวร์ มันดียังไง ?
ทริป 6 วัน 5 คืน 5-10 พฤษภาคม 2558 กับ บินตรง ฉางซา - จางเจียเจี้ย - ฟ่งหวง บิน FD
เริ่มเลยนะ ^__^
►► วันที่ 1 วันเดินทาง ต้องไปสนามบินดอนเมือง ก่อนตี 4 แล้วมนพึ่งกลับจากทัวร์หลีเป๊ะ ต้องรีบบอกพี่คนขับรถ ว่า ขับยังไงก็ได้ให้มนถึงสนามบินก่อน ตี 4 (บังคับชัดๆ) ปรากฏว่าถึงทัน ก็โล่งอกไป ผ่านต.ม. ตรวจกระเป๋า อะไรเรียบร้อย ก็เข้าไปรอที่ Gate แวะซื้อขนมทานระหว่างรอ และก็ขึ้นเครื่อง (ในใจนี่คิดตลอด เมื่อไหร่จะได้ขึ้นเครื่องฟะ ตูโคตรง่วงเลย) หลังจากนั้นก็หลับยาว Zzzz
ผู้ร่วมเดินทางในทริปนี้ ชื่อ พี่เบย์ ค่ะ
เวลา12.00 น. (เวลาจีน) ถึงสนามบินที่ฉางซาล่ะ อากาศกำลังเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป ไม่ร้อนจนเกินไป เดินออกมา ก็จะมีไกด์ท้องถิ่นต้อนรับอยู่ ไม่อยากจะบอก ว่าไกด์ท้องถิ่นน่ารักมาก ขาว สูง ดูดีอ่า เป็นผู้หญิงด้วยกันยังอายเลย เธอมีนามว่า ครีม จากนั้นก็ทานอาหารกลางวันที่สนามบิน
เมื่อทานเสร็จแล้ว ก็ขึ้นรถบัส มุ่งหน้าสู่ เมืองโบราณฟ่งหวง ไกด์ท้องถิ่นก็แนะนำตัว และก็ให้คนในรถแนะนำตัวเช่นกัน
จากนั้นอธิบายสถานที่ต่างๆ ที่เรานั่งรถผ่าน มีแวะ ให้เข้าห้องน้ำ บ้างเล็กน้อย เวลามาจีนสิ่งที่ต้องทำใจมากที่สุดคือห้องน้ำ แต่ที่ที่เราแวะ ถือว่ายังโอเคอยู่ แต่เรื่องกลิ่น นี่เหม็นทุกที่นะ
นั่งรถไปเรื่อยๆ ผ่านไป 7 ชั่วโมง ก็ถึงเมืองโบราณฟ่งหวงซึ่งมีโบราณสถาน และโบราณวัตถุทางด้านวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ตกทอดมาจากราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง มีถนนที่ปูด้วยหินเขียวกว่า 20 สาย สิ่งก่อสร้าง 68 แห่ง วัตถุโบราณ 116 แห่ง
กว่าจะมาถึง ก็มืดซะแล้ว สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของ ขายอาหาร แสง สี เสียง มนก็คุยกับพี่เบย์ว่า เดี๋ยวเราทานข้าวเย็นเสร็จแล้วเรามาเดินเล่นกัน
เมืองโบราณฟ่งหวงที่นี่ เค้าจะประดับไฟสวยงาม ตามตรอก ตามซอย จะมีร้านเหล้า ผับ ร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก ร้านขายอาหาร เต็มไปหมด
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะมีชาวบ้านยืนขายของกันอยู่ตามข้างทาง แต่ชาวบ้านคนนี้เค้ารับจ้างเอาไหมพรมมาทักบนหัว เห็นน่าสนใจก็เลยลองถามราคาดู ปรากฏว่า 3 เส้น 10 หยวน เราก็เลยถักไปทั้งหมด 6 เส้น 20 หยวน เป็นเงินไทย 100 บาท พอถักเสร็จก็เดินเล่นต่อ แต่เอะใจแปปนึง ก็หันไปถามกับพี่เบย์ว่า พี่เบย์ มัน 20 หยวน ก็ 100 บาทอ่าสิ เห้ยยยย ทำไมแพงจังฟะ แล้วทำไมเราไม่ต่อราคาเค้า เอ่ออออ ยืนไว้อาลัยให้ตัวเองซักพักก็เดินเล่นต่อ 5555
เดินไปก็มีบ่อน้ำตรงกลาง และมีตออิฐไว้ให้เดินข้ามบ่อน้ำ เสียวร่วงชิบเป๋ง 55555 เดินกันไปเดินกันมาจนเกือบหลงเลยแหละ ฮ่าๆ
ร้านกาแฟ+ร้านเหล้า
ผับ
ค่ำคืนนี้ ณ เมืองโบราณฟ่งหวง ถ่ายรูปมาเป็นร้อยเลยจ้า 5555
หลังจากดื่มด่ำ บรรยากาศกันพอสมควรแล้ว เราทั้งสองก็หาของกินจ้าาาา ร้านที่เราเข้าไปกินกัน จะเป็นร้านปิ้งย่าง เค้าจะมีแผงไว้หน้าร้านจะมีตะกร้าใส่พวกผัก เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อแพะ กุ้ง ปลาหมึก และอีกมากมายให้เลือก เราทั้งสองก็ยังไม่กล้ากินอะไรมากเลยเลือกกินปลาหมึกและปีกไก่ ในร้านจะมีแบบปิ้งย่าง และพวกราเม็ง แต่พวกเราเลือกที่จะกินแบบย่างๆ ตอนที่คนขายย่างนั้น เค้าได้ใส่เครื่องเทศไม่แน่ใจว่า มีอะไรบ้าง แต่ค่อนข้างรอนาน เพราะเค้าจะย่างจนมันแห้งเลย พอย่างเสร็จ เข้าปากปุ๊ป ร้องกรี้ดเลย (เวอร์ไป) รสชาติอร่อยมากกกกกกกลิ่นเครื่องเทศแรงมากเผ็ดสะใจดี ตอนแรกสั่งไปคนละ 2 ไม้ พอกินเสร็จ สั่งเพิ่มเลยจ้าาา ไม่ไหวแล้วว อร่อยมากกกกกกกกกกกกกก 5555
กินเสร็จก็กลับห้องนอนจ้า
คืนนี้นอนหลับแบบเจ็บคอ เพราะปิ้งย่างที่กินไปน่ะ ผงชูรสทั้งน้าน ฮ่าๆ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ZZzzz
►► วันที่ 2 โปรแกรมครึ่งวันเช้าจะเป็นการเดินชมเมืองโบราณฟ่งหวง พวกเราก็เดินชมตัวเมืองไป ไกด์ก็อธิบายไป แต่ส่วนมากไม่มีใครฟังไกด์เท่าไหร่ เพราะเน้นถ่ายรูปกันซะมากกว่า (มนด้วย 555)
จากนั่้นไกด์ก็พาชมบ้านเกิดของเสิ่นฉงเหวิน อดีตนักประพันธ์ นักประวัติศาสตร์และนักการศึกษาอันลือชื่อของจีน บ้านเกิดของเสิ่นฉงเหวินเป็นบ้านที่ปลูกล้อมรอบลานบ้านทั้งสี่ด้าน ก่อด้วยอิฐทนไฟที่มีสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นในภาคตะวันตกของมณฑลหูหนาน และได้ตกทอดมาจากปู่ของเสิ่นฉงเหวินอดีตผู้บังคับการทหารประจำมณฑลกุ้ยโจวในสมัยราชวงศ์ชิง ต่อมาจึงสร้างเป็นบ้านเกิดหลังดังกล่าว
จากนั้นไกด์ก็ปล่อยให้เดินเล่นกันตามอัธยาศัย
นกหงษ์ สัญลักษณ์ประจำเมืองฟ่งหวง
ชุดของเด็กทารก ง่ายต่อการเข้าห้องน้ำ
แวะทานขนมกันเล็กน้อย
จากนั้นไกด์ก็พาไปล่องเรือตามลำน้ำถัวเจียง พาชมบ้านเรือนสองฟากฝั่งแม่น้ำและสะพานโบราณ จุดเด่นอีกแห่งหนึ่งของฟ่งหวง คือบ้านที่ยกพื้นสูงเรียงรายกันบนริมน้ำที่ใสสะอาดจนเห็นก้นบึง เป็นทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นที่นิยมชื่นชอบทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศ
พอเดินกันจนเมื่อยละ ก็ทานอาหารกลางวัน เตรียมตัวนั่งรถยาวๆๆ (รอเวลานี้มานาน เพราะได้หลับ 5555)
สถานที่ต่อไป ที่เราจะไป คือเมืองจางเจียเจี้ย ใช้เวลาในการนั่งรถประมาณ 3 ช.ม. กว่าๆ หลับได้หลายตื่นเลย 5555
เมื่อเราไปถึงเมืองจางเจียเจี้ย ก็เข้าที่พัก ทานอาหารเย็น
มนกับพี่เบย์ก็ออกมาเดินเล่นซื้อของที่Super market
เลย์รสแตงกวา
เมื่อถึงเวลานัดหมาย ไกด์ก็พาไปชมโชว์ THE LOVE STORY OF A WOODENMAN AND A FAIRY FOX ฟังเพลงรักอันไพเราะ มีนักแสดงกว่า 500 ชีวิตโลดแล่นอยู่บนเวทีกลางแจ้งแบบอลังการตระการตา มีฉากหลังเป็นภูเขาทอดยาวแบบพาโนราม่า เทคนิคการเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ของนางจิ้งจอกขาว และรู้สึกซาบซึ้งไปกับความรักของจิ้งจอกขาวสาวสวยและชายหนุ่มตัดฟืนที่ฝ่าฟันอุปสรรค์ต่อสู้เพื่อความรักจนท้ายที่สุดก็สมหวังในชีวิตคู่
หลังจากดูโชว์เสร็จ ก็เข้าที่พักนอนเลย คืนนี้เราสองคนคงไม่ไปไหน เพราะดึกมากแล้ววว
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ Zzzz
►► วันที่ 3 วันนี้เราอยู่ที่เมืองจางเจียเจี้ยกัน ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนาน ตอนกลางค่อนมาทางใต้ของประเทศจีน เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะพิเศษและมีทัศนียภาพที่งดงาม คลอบคลุมพื้นที่มากกว่า 264 ตารางกิโลเมตร และ 97.7% ของพื้นที่เป็นป่าไม้ จางเจียเจี้ยได้ถูกประกาศให้เป็นเขตอนุรักษ์วนอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ. 1982 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ วนอุทยานแห่งชาติ หุบเขาซูยี่ และภูเขาเทียนจื่อ ความโดดเด่นของที่นี้ คือ ยอดเขาและเสาหินทรายที่ตั้งตระหง่านกว่า 3,000 ยอด และสูงกว่า 200 เมตร นอกจากนี้ยังมีช่องแคบ ลำธาร สระน้ำ และน้ำตกมากมาย รวมทั้งมีถ้ำกว่า 40 ถ้ำ ซึ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ มีภูมิทัศน์ที่งดงามจนได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกปี 1992 จาก UNESCO
โปรแกรมครึ่งวันเช้า วันนี้เราจะไปขึ้นเขาอวตารหรือเขาเทียนจื่อซาน (เขาจักรพรรดิ) อยู่ในเขตอุทยานเหยียนเจียเจี้ย
ทางเดินไปขึ้นรถ เพื่อขึ้นไปบนยอดเขา
ก่อนที่จะไปถึงบนเขา เราก็จะต้องขึ้นลงด้วยลิฟต์แก้ว ลิฟท์แก้วไป่หลง ลิฟท์แก้วแห่งแรกของเอเชียสูง 326 เมตร ยอดเขาที่นี่วัดความสูงได้ถึง 1,250 เมตร ทั้งด้านทิศตะวันออก ทิศใต้และทิศตะวันตกของเขาเทียนจื่อซานนั้นเต็มไปด้วยชะง่อนผาอันสูงชัน ลำห้วยลึก และป่าหิน หินยักษ์ในรูปลักษณะต่างๆ ยืนตระหง่านค้ำฟ้า
เมื่อขึ้นไปด้านบน เราก็ต้องนั่งรถบัสขึ้นไปอีก
ทางไปขึ้นรถบัส
ตอนที่ลงจากรถบัส ฝนดันตกพอดี ไกด์เลยต้องซื้อเสื้อกันฝนแจกคนละตัว จากนั้นมนกับพี่เบย์ก็เริ่มเดินขึ้นเขาอวตาร ที่นี่จะมีทางเดินไปทางซ้ายและทางขวา จากการสังเกตการณ์ ทางซ้ายมือส่วนมากจะเป็นจุดชมวิวให้ถ่ายรูป และต้องเดินกลับมา เพื่อเดินไปทางขวา เดินไปเรื่อยๆ วิวข้างทางก็จะเป็นเขาสูงๆ ซึ่งเกิดจากการยกตัวของเปลือกโลก จนทำให้มีภูเขา สลับซับซ้อนเป็นแท่งแหลมๆ
เมื่อผ่านจุดแวะชมจุดหนึ่ง จะเป็นจุดชมเทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว (สะพานใต้ฟ้าอันดับ 1) ที่มีทัศนียภาพสวยงามรายล้อมด้วยหมู่ขุนเขา ซึ่งภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดชื่อดังเรื่อง “อวตาร” ได้นำวิวบางส่วนของขุนเขามาเป็นฉากในการถ่ายทำ
ตอนอยู่บนเขาไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะฝนตกปอยๆ และนักท่องเที่ยวก็เยอะมากๆ ใช้เวลาในการเดินประมาณ 40 นาที ก็ออกมานั่งรอเพื่อนในทริป จากนั้นก็ต้องนั่งรถลงมาและต่อด้วยลิฟท์แก้ว จนถึงจุดจอดรถจุดแรก
เมื่อครบแล้ว ก็เดินทางต่อ เพื่อไปชมลําธารจินเปียนซี (ลําธารแส้ม้าทอง) เป็นลําธารที่ไหลวนตามช่องเขาและชะง่อนผา ระยะทางยาว 5,700 เมตร นํ้าในลําธารมีสีเขียวใสปราศจากมลพิษ สองฟากฝั่งจะมีหินแปลกประหลาดตั้งตระหง่านเรียงรายกันอยู่เป็นจํานวนมาก
คนจีนก็ติด Social เหมือนกันนะ
ถ่ายกับไกด์คนสวย
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับโรงแรมทานอาหารเย็น มนกับพี่เบย์ ก็ได้วางแผนที่จะไปกินปิ้งย่างและเดินสำรวจ แล้วก็ได้แวะ Super market อีกรอบ เพราะอาหารเช้าที่นี่ ไม่ค่อยถูกปาก เลยต้องหาขนมปังมาแทน
เมื่อซื้อของเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาปิ้งย่างจ้า
แต่ว่าร้านปิ้งย่างที่นี่ มีให้เลือกน้อยมาก สุดท้ายก็ได้ทานแถวโรงแรม แต่รสชาติ ถือว่าสู้ที่เมืองโบราณฟ่งหวงไม่ได้ แต่ก็ทดแทนได้ในระดับนึงฮ่าๆ
วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน พักผ่อนกันเถอะ Zzzz
►► วันที่ 4 วันนี้ฝนตกแต่เช้าเลยจ้าาาาาา โปรแกรมตอนเช้าเลยไม่มีอะไรมาก เพราะไปลงร้านรัฐบาล และทานอาหารกลางวัน โปรแกรมตอนบ่ายจะเป็นการล่องเรือ ทะเลสาบเป่าเฟิงหู (Baofeng Lake) เป็นทะเลสาบบนช่องเขาสูง โดยที่ทะเลสาบจะถูกรายล้อมด้วยยอดเขา และน้ำก็ใสมาก การเที่ยวชมอาศัยการล่องเรือ โดยระหว่างทางก็จะพบแพและมีคนใส่ชุดพื้นเมืองอยู่
หลังจากล่องเรือเสร็จก็นั่งรถลงมาและแวะร้านหยก ถ้าใครที่เคยมาประเทศจีน จะรู้ว่า ในโปรแกรมทัวร์จะมีการแวะร้านรัฐบาล เพื่อให้ราคาทัวร์ถูกลง แต่บางท่านก็ไม่ชอบ เพราะเราต้องเข้ามานั่งฟังเค้าบรรยายขายของ ประมาณ 40-60 นาที แต่เค้าจะไม่บังคับซื้อ แต่ก็มีบางบริษัททัวร์ ที่ทำทัวร์จีนแบบไม่ลงร้านรัฐบาล เอาเวลาไปเที่ยวซะมากกว่า แต่ราคาทัวร์จะสูงมาก อันนี้ก็แล้วแต่ลูกค้าจะเลือก ส่วนมากร้านรัฐบาลที่แวะจะมี ร้านชา ร้านหยก ร้านไข่มุก ร้านใยไหม ร้านผ้าไหม ร้านนวดเท้า แต่ถ้าใครไม่ซีเรียสมาก ก็แค่เข้าไปนั่งฟังให้จบๆ แล้วก็ออกมาเดินเล่น
สำหรับร้านขายหยกที่นี่ถือว่าการตลาดเค้าค่อนข้างเก่ง เพราะร้านอื่นที่แวะ เค้าก็จะใช้คำพูดเดิมๆ สาธิตแบบเดิมๆ แต่ที่นี่เจ๋งกว่า คนบรรยายหรือคนขายชื่อว่า ปรีชา เป็นคน 12 ปันนา พูดไทยได้นิดหน่อย เพราะเคยมาอยู่เชียงใหม่ 1 ปี ตอนที่เค้าเข้ามาในห้องอบรม สิ่งที่เค้าพูดคือ " ผมรู้ว่าพวกคุณไม่อยากมานั่งฟังหรอก แต่ผมก็ไม่อยากมานั่งโม้ นั่งอธิบายหรอก " พวกเรานี่อึ่งเลยจ้าา จากนั้น เค้าก็อธิบายเกี่ยวกับหยกประมาณ 5 นาที ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของตัวเอง โดยพี่แก เล่าว่า พ่อแกให้แกย้ายมาทำงานที่นี่ คอยดูแลบริษัท จิงๆแกไม่อยากมาเลย อีกไม่นานก็จะกลับ 12 ปันนา แกบอกว่า คนจีนเลวมาก เห็นเงินสำคัญมากกว่าชีวิต คุณภาพชีวิตเลยตกต่ำมาก เท่าที่ดู คุณปรีชานี่ น่าจะเป็นคนตรงๆ แกเลยไม่กลัวที่จะพูด พวกเราก็นั่งฟังกันซะเพลินเลย จากนั้นก็ออกไปอีกห้อง ซึ่งมีหยก มีไข่มุก ขายอยู่ ปรากฏว่า แกก็บอกพวกเราว่า พวกร้านขายหยกเนี่ย ถ้าลดราคา 90% ยังไงก็ได้กำไรอยู่แล้ว มีลูกค้าในทริปท่านนึงก็ถามว่า หยกนี้ลดได้มากสุดเท่าไหร่ คุณปรีชาก็คิดแปปนึง แล้วก็บอกราคามา เช่น จาก 40,000 กว่าบาท แกลดเหลือ แค่ 5,000 บาทไทย สุดท้าย ลูกค้าท่านนี้ก็ซื้อ รวมทั้งท่านอื่นๆด้วย จริงๆ แต่ละร้านเค้าก็จะมีวิธีการขายที่ไม่เหมือนกัน มนกับพี่เบย์ และเพื่อนร่วมทริปอีกท่านก็มานั่งคุยกันว่า เป็นแผนการตลาดรึเปล่า หรือเป็นเรื่องจริง จนสุดท้ายมันคือการตลาด เพราะแกขายได้ถึงเป้าที่วางไว้ 55555 ขอยกย่องจริงๆ จิตวิทยาสูงมาก
หลังจากเสียเงินกันแล้ว ก็เดินทางไปในตัวเมืองซึ่งไกด์ได้พาไป พิธภัณฑ์ภาพวาดทราย "จวินเซิงฮว่าเยียน" เมืองจางเจียเจี้ย ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นที่รวบรวมและจัดแสดงผลงานที่มีคุณค่าทางศิลปะของศิลปินแห่งชาตินาม "หลี่จวินเซิง" ซึ่งผลงานของเขาทุกชิ้นเป็นภาพเขียนด้วยมือที่ใช้หินทรายและสีธรรมชาติที่สกัดจากเปลือกไม้ใบไม้เป็นวัตถุดิบในการเขียน
แต่มนกับพี่เบย์ไม่ไป เลยพากันไปเดินเล่น ริมถนน และได้ ขนมเค้ก ขนมปังมาทาน (เอาไว้เป็นอาหารเช้าที่โรงแรม เพราะกินอะไรไม่ได้เลย มีแต่ผัก)
จากนั้นก็เดินทางไปดูโชว์เหม่ยลี่ซึ่งเป็นโชว์กายกรรมที่สวยงามและยิ่งใหญ่ของเมืองจางเจียเจี้ย ที่มีความอลังการสวยงามยิ่ง โชว์ที่นี่ มีแอบหวาดเสียวนิดหน่อย ช่วงแรกๆก็มีเบื่อบ้าง แต่หลังๆก็เริ่มสนุก
เสร็จแล้วก็ออกมาข้างนอก มีการแสดงกลางแจ้ง เป็นการโชว์ความหวาดเสียวยิ่งกว่า โดยการเดินบนมีดที่มีความคมมากและเดินบนกองไฟ
หลังจากนั้นก็เดินทางกลับโรงแรม วันนี้มีนัดกับไกด์และลูกค้าร่วมทริปอีก 2 ท่าน เพื่อไปกินปิ้งย่าง ร้านปิ้งย่างที่พวกเราไปกันจะไม้ใช่สไตล์แบบที่กินกัน แต่จะเป็นการเดินเข้าไปนั่งและสั่งอาหาร ซึ่งถ้าไปเองก็คงสั่งไม่เป็นหรอก แต่นี่มีไกด์ไปด้วย สบายยย 55555 สิ่งที่สั่งมาก็เป็นปลาหมึก เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อแพะ กิมจิ ร้านนี้จะมีเตาไว้ย่างบนโต๊ะเลย ไม่เหมือนร้านอื่นที่มนไปกินกับพี่เบย์ จะเป็นการย่างมาให้เลย
หลังจากทานเสร็จ บวกกับความเหนื่อยล้า เลยต้องขอตัวกลับไปนอนก่อน Zzzz
►► วันที่ 5 แว้ววว วันนี้แหละ ไฮไลท์ของทริปนี้ คือไปนั่งกระเช้าบนเขาเทียนเหมินซานหรือประตูสวรรค์ เมื่อลงรถบัส สิ่งที่เห็นคือคนต่อคิวเยอะมากกก การขึ้นเขาที่นี่จะมี 2 อย่าง คือการนั่งรถขึ้นไปและนั่งกระเช้าลงมา กับการนั่งกระเช้าขึ้นและนั่งกระเช้าลงมา แต่พวกเราเลือกนั่งรถขึ้นไปและนั่งกระเช้าลงมา ทางที่ขึ้นเขาค่อนข้างชันมาก เราต้องเปลี่ยนรถ 2 ต่อ แต่ถือว่าพี่จีนเค้าทำถนนดีมาก ถนนนี่ไม่มีหลุมเลย นั่งรถทีแทบจะหลับ
เมื่อเราขึ้นไปถึงจุดจอดรถจุดแรกก็ต้องเดินขึ้นไปต่อคิวเพื่อขึ้นจุดที่สอง
ระหว่างทาง วิวทั้งสองฝั่งจะเป็นภูเขา ทางจะคดเคี้ยวมากก แต่สวยมากก แอบคิดในใจว่า รถยนต์ขึ้นไปได้ไงฟะ ขนาดบ้านเราแค่ไปเขาค้อ รถบางคันยังไม่กล้าขึ้นไปเลย ถือว่าที่นี่คนขับต้องชำนาญทางมากๆ
เมื่อถึงบนยอดแล้ว เราก็จะเห็นประตูสวรรค์ มีทางบันได 999 ขึ้น เพื่อขึ้นไปด้านบน ไกด์ก็จะปล่อยให้ถ่ายรูปกัน 20 นาที
หลังจากนั้นเราก็จะขึ้นไปตรงประตูสวรรค์เลย ตอนขึ้นไปตรงประตู มนกับพี่เบย์เลือกที่จะเดินขึ้นบันได แทนการใช้บันไดเลื่อน เป็นผู้กล้า 2 คนในกรุ๊ป555 จริงๆในกรุ๊ปมีแต่อายุ 40+ พวกเราเด็กสุด 55555 )
ระหว่างทางขึ้นบันได จะบอกว่าชันมากกก กลิ่นบุหรี่ฟุ้งไปหมด คนจีนนี่เค้าสูบบุหรี่ทุกที่จริงๆ ขึ้นไปได้ซักพักก็นั่งพัก
และก็เดินขึ้นต่อ จนอึดใจสุดท้าย รีบเดินให้ถึงไปเลย พอถึงแล้ว ก็มองลงไปข้างล่าง วิวที่เห็นก็จะเป็นแบบในรูปเลย
พอหันลงมาข้างล่าง อ้าว พี่เบย์หาย 5555555 ต้องทำใจเพราะพี่เบย์อายุเยอะแล้ว ฮ่าๆ (แซว) ก็เลยขึ้นมายืนดมยาดมซักพักหนึ่ง
และพี่เบย์ก็เดินขึ้นมาจนถึง
อาการของเราทั้งสองคน คือ พอยืนอยู่เฉยๆ จะหน้ามืด มึนหัว อยากอาเจียน เพราะอากาศบนนั้นเบาบางมากก แต่มนไม่เป็นไรมาก ส่วนพี่เบย์ปล่อยของเต็มที่ (อ้วก) แต่ก็รู้สึกภูมิใจนะ ที่ได้ขึ้นบันได เพราะไม่รู้ว่าจะได้มาอีกเมื่อไหร่ ครั้งนี้ถือว่าคุ้มมาก
จากนั้นเมื่อถึงเวลา ก็ไปรวมกับคนอื่นในทริปและเดินไปขึ้นบันไดเลื่อน เพื่อไปขึ้นกระเช้า พี่จีนเค้าเล่นเจาะภูเขา เพื่อสร้างบันไดเลื่อน ซึ่งบันไดเลื่อนที่เราขึ้นนั้น ก็มีเกือบ 10 สถานี คือ พอขึ้นบันไดเลื่อนตัวนี้เสร็จ ก็มีให้ขึ้นอีก จนไปถึงทางที่จะเดินไปสถานีกระเช้า
แต่ก่อนที่เราจะขึ้นกระเช้า ก็จะมีทางเดินกระจก ซึ่งเป็นทางเดินริมเขาที่พี่จีนเค้าสร้างขึ้นมา ที่นี่จะมีให้เปลี่ยนรองเท้าเป็นรองเท้ากันลื่น พื้นเป็นกระจก ที่กั้นก็เป็นกระจก โอ้แม่เจ้า!! ใจหายวูบเลยจ่ะ เสียวชิบเป๋งงงง ข้างล่างนี่สูงมากกก ตกไปไม่รู้จะเหลือชิ้นส่วนมั้ย ฮ่าๆ ตอนเดินก็แอบวูบๆตลอด ไม่รู้เป็นคนกลัวความสูงรึเปล่า แต่แบบพอมองไปข้างนอกใจมันสั่นๆตลอดเลย พี่เบย์ก็เรียก มนๆๆ หันมาถ่ายรูป ไอเรารีบยื่นมือไปจับราวพร้อมหันหน้าหากล้อง แต่ไอมือที่จับราวอ่า โคตรสั่นเลย 55555
พอเดินเสร็จปุ๊ปปป ถอยหายใจเฮือกใหญ่เลย5555555 เอาล่ะๆ ถึงเวลานั่งกระเช้าล่ะ
แล้วเราก็เดินไปยังสถานนีกระเช้า ต่อคิวนิดหน่อย เพราะไกด์จัดการเรื่องตั๋วให้เราหมดล่ะ ตอนที่จะขึ้นกระเช้า มันไวมาก ก้าวเท้าขึ้นแทบไม่ทัน แต่พอได้ขึ้นไปนั่งเท่านั้นแหละ ใจสั่นอีกและ โคตรสูงงงงงงง แล้วในใจนี่จินตนาการตลอดเลย ว่าถ้ากระเช้าล่วงล่ะ ถ้าสลิงขาดล่ะ สลิงนี่ทนจริงหรอ คิดๆๆๆ ไปเรื่อย ยิ่งพอกระเช้าผ่านตอม้อนะ กระตุกซะแบบจะร่วงให้ได้อ่า แต่เราก็ต้องข่มความกลัวไว้ โดยการหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป55555 วิวข้างล่างสวยมาก มองเห็นได้ไกลจริงๆ ทางขึ้นเขาที่เรานั่งรถขึ้นมา ประหนึ่งเหมือนผ้าพับไว้เลย คดไปคดมา เราต้องอยู่บนกระเช้า40 นาที ถือว่าเป็น 40 นาที ที่โคตรจะนาน ฮ่าๆ
พอได้ลงจากระเช้าปุ๊ป แอบดีใจ 555 รอดแล้วววโว้ยยย จากนั้นก็แวะทานอาหารกลางวัน เตรียมนั่งรถกลับเมือง ฉางซา ใช้เวลาในการนั่งประมาณ 3-4 ชั่วโมง แวะทานอาหารเย็นระหว่างทาง กว่าจะถึงก็มืดและ เราก็ออกมาสำรวจทาง555 ไกด์ก็พาไปทานบะหมี่อยู่ร้านนึง เค้าบอกว่ามีเฟรนไชส์เกือบทุกเมือง ไอเราก็เลยสั่งมาลองกินกับพี่เบย์ รสชาติอร่อยดีนะ แต่ ณ จุดนี้คือง่วง ก็รีบๆกินรีบๆกลับไปนอน แล้วก็กลับโรงแรมนอน ZZZ วันนี้เหนื่อยจริงอะไรจริง
►► วันที่ 6 วันนี้ตื่นสายมาก555 เช็คเอ้าท์เสร็จก็ได้เวลาเดินทางไปสนามบิน ไฟล์บินของเรา เวลา12.00 น. ไปถึงก็เกือบๆ 10 โมง ละ ก็รอเวลา Check in ตั๋ว และเดินเข้าไปใน Gate พอถึงเวลาขึ้นเครื่อง เราก็เดินๆๆๆ สักพักนึงเครื่องบินออก เราก็หลับเลยจ้า เวลาจะหลับสนิททีไร แอร์โฮสเตส ต้องเดินมาปลุกตล๊อดดด ได้เวลาแจกอาหารบนเครื่อง 5555 ก็เลยต้องตื่นมาทานข้าว ทานเสร็จก็หลับไม่ลงล่ะ คนบนเครื่องเสียงดังมาก ก็เลยนั่งมองนู่น มองนี่ จนเครื่องลงที่สนามบินดอนเมืองเป็นเวลา 15.00 น. ของบ้านเรา กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
หมดเวลาแล้วสำหรับความสุขในช่วงเวลาหนึ่ง
✦✦✦ สิ่งที่ได้จากทริปนี้
✦✦✦
✿✿ ได้รู้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ
✿✿ ได้รุ้ว่าประเทศจีนมีอะไรให้น่าเที่ยวอีกเยอะ เพราะประเทศเค้าพัฒนาเร็วมาก
✿✿ ได้รู้ว่าไกด์เค้าทำหน้าที่อะไรบ้าง เราก็เรียนรู้จากเค้าแล้วนำมาใช้ในการออกทัวร์
✿✿ ได้รู้ว่าคนจีน ก็มีทั้งดีและไม่ดี ปนๆกันไป
✿✿ ได้รู้ว่าครั้งหน้าไปจีน ควรเตรียมอะไรเพิ่มไปอีกบ้าง เช่น มาม่า น้ำพริก ต่างๆ (สำหรับคนที่ไม่กินผัก)
✿✿ ได้รู้ว่าห้องน้ำจีนก็ไม่ได้สกปรกไปซะทุกที่
✿✿ ได้รู้ว่าการไปกับทัวร์ก็สนุกและประทับใจเช่นกัน เพราะไกด์เค้าจะดูแลและเตรียมทุกอย่างไว้ให้เลย ไม่ว่าจะเป็นที่พัก อาหาร ตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รถบัส กระเช้า แถมไกด์ยังพาเที่ยว พาสำรวจนอกเหนือจากโปรแกรมอีกด้วย
✦✦✦ สิ่งที่อยากบอก
✦✦✦
✿✿ ขอบคุณพี่แพทเจ้าของบริษัทดับเบิ้ล เอ็นจอย ทราเวล จำกัด ที่ให้โอกาสในการไปศึกษาดูงาน เพราะบางที การเป็น Sale ขายทัวร์ก็ต้องรู้อะไรที่มากกว่าในโปรแกรม และทริปนี้ก็ทำให้มนได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น สามารถบอกลูกค้าได้ว่า จางเจียเจี้ยเนี่ย ไปไหนบ้าง ทำอะไรบ้าง ที่จีนเป็นยังไงบ้าง เราจะรู้สึกมั่นใจในการขายมากขึ้น
✿✿ ขอบคุณพี่เบย์ เจ้านายอีกคน ที่เป็นเพื่อนร่วมทาง คอยดูแล คอยช่วยเหลือ ถ่ายรูปให้ตลอด มีแต่คนถามว่าเราเป็นพี่สาว น้องสาว จริงๆรึเปล่า 55555 บางทีการได้ไปอยู่ด้วยกัน มันก็ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันนะ ว่าเค้าคนนี้เป็นยังไง พี่เบย์เป็นคนน่ารักนะ ตื่นก่อนมนตลอด 55555 เวลากินข้าว แล้วมนตักไม่ถึง แกก็จะตักนู่น ตักนี้ให้ ความประทับบังเกิดแล้วจ้าาา ^^
✿✿ ขอบคุณปอยและเบล ที่ได้เสียสละให้ข้าไป ขอบคุณพวกเธอมาก
✸✸✸✸ ขอบคุณโอกาสดีๆ ที่เข้ามาในชีวิต ✸✸✸✸